หลายบ้านที่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนแล้ว ยังคงรู้สึกถึงความร้อนที่ผ่านเข้ามาภายในบ้านอยู่ มาดูกันว่าทำไมบ้านยังร้อน? ความร้อนที่เกิดขึ้นมาจากส่วนไหนอีกบ้าง? และมีวิธีช่วยลดความร้อนอย่างไร? >ความร้อนส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในบ้าน 70% มักเป็นความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ผ่านเข้ามาทางหลังคาบ้านเป็นหลัก สำหรับเจ้าของบ้านที่ติดตั้งฉนวนใยแก้วกันความร้อนบริเวณหลังคาหรือฝ้าเพดานแล้ว พบว่าภายในบ้านยังคงมีความร้อนอยู่ เหตุผลเนื่องจากยังมีความร้อนจากส่วนอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความร้อนขึ้นในบ้านอีกเช่นกัน ติดฉนวนแบบวางบนแป วางเหนือฝ้าเพดาน >ภาพ: ตัวอย่างการติดตั้ง “แผ่นสะท้อนความร้อนเอสซีจี รุ่นอัลตราคูล” ซึ่งเป็นฉนวนกันความร้อนชนิดวางบนแปของหลังคา และ “ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น STAY COOL” ฉนวนสำหรับติดตั้งเหนือฝ้าเพดาน > 3 เหตุผลที่บ้านยังร้อน แม้ว่าติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาและฝ้าเพดานแล้ว > เมื่อติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่หลังคาหรือผนัง ความร้อนจากหลังคาจะส่งผ่านมาได้ "น้อยลง" นั่นหมายความว่า ความร้อนบางส่วนจากหลังคาจะยังสามารถส่งผ่านเข้ามาในบ้านได้ นอกจากนี้ยังมีอีก 3 สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้บ้านร้อนได้มากขึ้นได้แก่ 1) ความร้อนจากส่วนอื่นของบ้าน (ที่ไม่ได้มีการติดตั้งฉนวนหรือไม่สามารถติดตั้งฉนวนได้) 2) แหล่งกำเนิดความร้อนอื่นๆ ในบ้าน และ 3) ขาดการระบายอากาศที่ดี > 1) ความร้อนจากส่วนอื่นๆ ของบ้าน > นอกจากความร้อนจากแสงแดดที่ผ่านเข้ามาทางหลังคาและโถงหลังคา ยังมีความร้อนจากอีกหลายส่วนของบ้าน ไม่ว่าจะเป็น > >1.1 ความร้อนจากช่องแสง ประตู-หน้าต่างกระจก ช่องแสงหรือช่องกระจก เป็นส่วนที่มีความใส ทำให้แสงแดดสามารถส่องเข้ามาได้ พร้อมกับความร้อนที่ผ่านเข้ามาด้วย หากบริเวณนั้นแสงแดดส่องเข้ามาตรงๆ โดยเฉพาะทิศใต้และทิศตะวันตกความร้อนจะยิ่งสามารถผ่านเข้ามาได้มากเช่นกัน ความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางช่องแสงประตูหน้าต่าง กระจก >ภาพ: ความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางช่องแสงประตูหน้าต่างหรือกระจก >แนวทางแก้ปัญหาบ้านร้อนจากประตูหน้าต่าง: สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การติดม่าน การติดฟิล์มกรองแสง การเลือกกระจกที่ช่วยลดความร้อน ติดตั้งระแนงช่วยกรองแสง ซึ่งสามารถเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมหลายวิธีก็ได้ >1.1.1 “การติดม่าน” เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับการลดความร้อนในส่วนนี้ เพราะเรามักจะติดผ้าม่านเพื่อ ช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวอยู่แลว แนะนำให้เลือกใช้ผ้าม่านแบบทึบแสงหรือแบบที่บล็อกแสงได้ 100% หรือผ้าม่านแบบโปร่งเพื่อกรองแสงบางส่วน ติดตั้งม่านบล็อกแสง 100% ม่านแบบโปร่งที่ช่วยกรองแสงบางส่วน >ภาพ: ติดตั้งด้วยม่านบล็อกแสง 100% หรือผ้าม่านแบบโปร่งที่ช่วยกรองแสงบางส่วน >1.1.2 “การเลือกติดฟิล์มกรองแสง” เป็นอีกวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาบ้านร้อนได้ไม่ยาก ปัจจุบันฟิล์มกรองแสงสามารถเลือกได้ว่า ต้องการกรองแสงกี่เปอร์เซ็นต์ และยังมีหลายสีสันให้เลือก จึงสามารถเลือกให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ในบ้านรวมถึงสไตล์ของบ้านได้ ติดตั้งฟิล์มกรองแสง >ภาพ: ติดตั้งฟิล์มเพื่อช่วยกรองแสงที่จะผ่านเข้ามาภายในบ้าน >1.1.3 "เปลี่ยนเป็นกระจกที่ช่วยลดความร้อน" ในท้องตลาด ยังมีกระจกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้เป็นฉนวนกันความร้อน ที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ เช่น กระจก Low-E, กระจก Heat Stop, กระจกฉนวน หรือ Insulated Glass, กระจกฮีตมิเรอร์ >1.1.4 "สร้างร่มเงาให้กับผนังอาคาร" ไม่ว่าจะเป็นการ “ติดตั้งระแนงแผงบังแดด” นอกจากจะช่วยกรองแสงแล้ว หากเลือกรูปแบบที่เข้ากับสไตล์บ้าน ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้บ้านสวยขึ้นหรือดูมีลูกเล่นขึ้นได้ หรือ “การต่อเติมกันสาดเหนือช่องเปิด” ทำให้เกิดเงาและช่วยป้องกันไม่ให้ความร้อนจากแสงแดดส่องเข้าบ้านโดยตรง นอกจากจะช่วยลดความร้อนแล้วยังช่วยกันฝนสาดอีกด้วย ติดตั้งระแนงบังแดด >ภาพ: ติดตั้งระแนงบังแดด ช่วยกรองแสงที่จะผ่านเข้ามาโดยตรงสู่ภายในบ้าน สนใจ รั้วระแนง ฟาซาด พร้อมบริการติดตั้ง คลิก\{.button .newtab} {.centered} text >ภาพ: สร้างร่มเงาให้กับช่องเปิดอาคารด้วยการต่อเติมกันสาดวัสดุทึบแสง ช่วยป้องกันทั้งแดดและฝน สนใจ บริการต่อเติมหลังคาโรงรถ/กันสาด เหมาเบ็ดเสร็จ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >1.2 ความร้อนที่สะสมที่ผนัง จะถูกถ่ายเทเข้ามาในบ้านได้ ซึ่งจะมากน้อยขึ้นอยู่กับวัสดุและระบบผนัง เช่น ผนังอิฐมอญจะสะสมความร้อนช่วงกลางวันและถ่ายเทเข้ามาในบ้านเราช่วงหัวค่ำจนถึงกลางคืน >แนวทางแก้ปัญหาบ้านร้อนจากผนัง: สามารถติดตั้งระบบผนังเบาพร้อมฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติม เพื่อลดความร้อนที่จะส่งผ่านทางผนังเข้าสู่ภายในบ้าน ติดตั้ง ระบบผนังไม้ฝา เอสซีจี รุ่นคูลพลัส ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น COOL-WALL >ภาพ: ตัวอย่างการติดตั้ง “ระบบผนังไม้ฝา เอสซีจี รุ่นคูลพลัส” และติดตั้ง “ฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น COOL WALL” สำหรับลดความร้อนที่จะผ่านเข้ามาทางผนังบ้าน > 2) แหล่งกำเนิดความร้อนอื่นๆ ในบ้าน > นอกจากความร้อนจากแสงแดดภายนอกแล้ว ยังมีความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้านเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นความร้อนจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน รวมถึงความร้อนจากร่างกายมนุษย์ > >2.1 ความร้อนจากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ตู้เย็น เตาอบ ไมโครเวฟ เตาแก๊ส คอมพิวเตอร์ หลอดไฟ รวมถึงความร้อนจากการทำอาหาร >วิธีลดความร้อน: หากอุปกรณ์ไฟฟ้าชิ้นไหนไม่ได้ใช้งานควรปิดการทำงานให้เรียบร้อย ส่วนหลอดไฟ สามารถเปลี่ยนมาใช้หลอด LED ที่ให้ความร้อนน้อย ความร้อนจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน >ภาพ: ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในบ้านจากเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้าน >2.2 ความร้อนจากร่างกายมนุษย์ เพราะร่างกายคนเรามีความร้อนเกิดขึ้น ไม่ว่าจากกระบวนการเผาผลาญอาหาร การรักษาอุณหภูมิเพื่อรักษาการทำงานของร่างกาย การออกกำลังกาย เมื่อมีความร้อนส่วนเกินเกิดขึ้น จึงมีการกระจายถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกายเพื่อให้อุณหภูมิภายในร่างกายมีความสมดุลและมีสุขภาพดี >วิธีลดความร้อน: อุณหภูมิหรือความร้อนจากร่างกายคนเราสามารถดลงได้ โดยการดื่มน้ำอุณหภูมิห้องหรือน้ำที่เย็นกว่าปกติเล็กน้อย การอาบน้ำ การเปิดพัดลม หรือให้มีการระบายอากาศภายในบ้านที่ดี ก็สามารถช่วยลดความร้อนลงได้ > 3) ไม่มีการระบายอากาศที่ดี > เพราะฉนวนกันความร้อนเป็นการป้องกันความร้อนจากภายนอก แต่หากมีความร้อนเกิดขึ้นและสะสมในบ้านแล้วไม่มีการระบายอากาศที่ดี หรือการปิดบ้านไว้ทั้งวัน ก็จะกันความร้อนจากข้างในไม่ให้ออกไปด้วย > >วิธีช่วยระบายถ่ายเทอากาศในบ้าน สามารถทำได้โดยการเปิดประตูหน้าต่างระหว่างวัน (เหมาะสำหรับบ้านที่ติดตั้งมุ้งลวดเพื่อป้องกันแมลงและสัตว์เล็กๆ เข้ามาในบ้าน) เพิ่มการระบายความร้อนที่โถงหลังคา เช่น การเปลี่ยนไปใช้ฝ้าชายคาแบบที่มีรูระบายอากาศ การติดตั้งกระเบื้องปล่องระบายอากาศ รวมถึงการติดตั้งระบบระบายอากาศ Active AirflowTM System ติดตั้งมุ้งลวด >ภาพ: บ้านที่ติดตั้งมุ้งลวด สามารถเปิดประตูหน้าต่าง เพื่อระบายความร้อนจากภายในบ้านได้ > สนใจ มุ้งลวดพร้อมบริการติดตั้ง คลิก\{.button .newtab} {.centered} > ติดตั้งฝ้าชายคาระบายอากาศ >ภาพ: เปลี่ยนมาติดตั้งฝ้าชายคาระบายอากาศ อีกหนึ่งวิธีช่วยให้บ้านมีการระบายอากาศที่ดี > สนใจ ฝ้าภายนอกแบบเรียบและระบายอากาศ พร้อมบริการติดตั้ง คลิก\{.button .newtab} {.centered} > ติดตั้งระบบระบายอากาศ Active AirflowTM System >ภาพ: การระบายอากาศภายในบ้าน เมื่อติดตั้งระบบระบายอากาศ Active AirflowTM System > สนใจ ระบบระบายอากาศ Active AirflowTM System คลิก\{.button .newtab} {.centered} > เมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้บ้านยังร้อนทั้ง ๆ ที่ติดตั้งฉนวนกันความร้อนแล้ว ลองหาทางปรับปรุงแก้ไขตามแนวทางที่แนะนำเท่าที่เป็นไปได้ จะเห็นได้ว่านอกจากการลดความร้อนในส่วนต่าง ๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญคือการถ่ายเทอากาศที่ดี เพราะจะเป็นตัวช่วยระบายความร้อนที่ผ่านเข้ามาสะสมอยู่ภายในบ้านให้ออกไปได้ และยังไม่ทำให้บ้านอบอ้าวมากจนเกินไปอีกด้วย > สนใจ บริการติดตั้งฉนวนกันความร้อน STAY COOL คลิก\{.button .newtab} {.centered}
บ้านสไตล์โมเดิร์นมีลักษณะเฉพาะบางอย่างที่ไม่เอื้อกับสภาพอากาศบ้านเรานัก จึงควรให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบโดยคำนึงถึงหลักการต่าง ๆ ที่จะช่วยลดความร้อนในบ้าน >เอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้านสไตล์โมเดิร์นคือความเรียบง่าย เน้นการใช้พื้นที่ รูปทรงเรขาคณิต เส้นสายที่มีความชัดเจน ไม่ซับซ้อน อาจมีการแสดงความท้าทายของโครงสร้างเสาคาน หรือระยะยื่นยาวของคานหรือพื้นที่ไม่มีเสาค้ำเพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้น นิยมใช้กระจกบานใหญ่เพื่อให้บ้านดูโปร่งและเบา ด้วยลักษณะดังที่กล่าวมาทำให้หลายคนเรียกบ้านสไตล์นี้ว่าบ้านกล่อง >. >## ลักษณะของบ้านโมเดิร์นที่ไม่เอื้อกับอากาศร้อน >รูปแบบหลังคาของบ้านสไตล์นี้มักจะมีความเรียบแบน บาง หรือมีองศาหลังคาค่อนข้างต่ำ โดยเป็น Concrete Slab หลังคาดาดฟ้า หลังคาทรงเพิงแหงน หรือทำหลังคาซ่อนที่เรียกว่า Parapet หากออกแบบตามสไตล์ดั้งเดิมอย่างในประเทศเมืองหนาวที่นิยมทำหลังคาดาดฟ้าคอนกรีต เมื่อรับแสงแดดโดยตรงจะไม่มีพื้นที่กักความร้อนและระบายออกไปก่อน ความร้อนจึงผ่านเข้ามาในบ้านได้ง่าย ทำให้พื้นที่หรือห้องใต้หลังคาดาดฟ้านั้นร้อนมาก ต่างจากหลังคาทรงจั่วหรือปั้นหยาของบ้านไทยที่มีโถงใต้หลังคา และมีการระบายความร้อนออกที่ชายคาหรือหน้าจั่ว >นอกจากนี้ ด้วยความที่เป็นบ้านกล่อง จึงมักไม่มีชายคายื่นออกมาหรืออาจมีแต่อยู่เหนือช่องเปิดสูงเกินไป หรือยื่นไม่มาก ทำให้แดดสาดส่องเข้ามาในตัวบ้านได้ >ผนังกระจก หรือช่องเปิดกระจกขนาดใหญ่ เป็นดีไซน์ที่บ้านสไตล์โมเดิร์นนิยม เพราะช่วยให้บ้านดูโปร่ง ลดทอนความแข็งและทึบตัน แต่ก็รับความร้อนได้ดีเช่นกัน >บ้านกล่องที่มีหลังคาเรียบแบน บาง และยื่นชายคาน้อย >ภาพ: บ้านกล่องที่มีหลังคาเรียบแบน บาง และยื่นชายคาน้อย >. >ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน การออกแบบบ้านสไตล์โมเดิร์นที่มีรูปทรงกล่องจึงท้าทาย วิธีการป้องกันแดดและความร้อนสะสมภายในบ้านจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยอยู่ในสภาวะน่าสบายมากที่สุด ซึ่งพอจะสรุปแนวทางได้ดังนี้ >. >## 1. จัดวางอาคารตามทิศทางแดดลม >โดยปกติแล้วผู้ออกแบบหรือสถาปนิกมักออกแบบบ้านโดยวางแนวอาคารตามทิศทางของแดดลมอยู่แล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับการรับแสงธรรมชาติเป็นประโยชน์ด้านการรับร่มเงาอาคารหรือการใช้แสงแดดอย่างเหมาะสม และการรับลมธรรมชาติก็ช่วยทำให้บ้านเย็นช่วยลดการสะสมความร้อน >ในหนึ่งรอบปี ทิศทางแดดของประเทศไทยจะอ้อมทิศใต้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้พื้นที่บ้านด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ได้รับแสงแดดจัด สะสมความร้อนค่อนข้างมาก ดังนั้น การออกแบบจัดวางพื้นที่ใช้สอยบริเวณนี้จึงควรเป็นห้องน้ำ ห้องเก็บของ หรือเป็นพื้นที่ซักล้าง ตากผ้า ซึ่งได้ประโยชน์จากแสงแดดและรับความร้อนแทนพื้นที่อยู่อาศัยส่วนอื่นๆ >ส่วนทิศทางลมของประเทศไทยจะพัดผ่านในแนวทิศตะวันตกเฉียงใต้กับทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้นการจัดวางห้องในแนวทิศทางนี้ควรออกแบบให้มีช่องเปิดเพื่อรับลม โดยไม่มีผนังกั้นหรือไม่จัดวางสิ่งใดขวางทางลม บางครั้งผู้ออกแบบจะเลือกวางตำแหน่งสระน้ำ บ่อน้ำธรรมชาติ หรือสระว่ายน้ำในทิศนี้เพื่อให้ลมพัดเอาไอเย็นจากน้ำเข้าบ้านทำให้ภายในบ้านเย็นขึ้น >ตัวอย่างการออกแบบผังอาคารและพื้นที่กิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงทิศทางของแดด >ภาพ: ตัวอย่างการออกแบบผังอาคารและพื้นที่กิจกรรมต่าง ๆ โดยคำนึงถึงทิศทางของแดด >ขอบคุณภาพ: ID Architect >จัดวางตำแหน่งสระว่ายน้ำในทิศตะวันตกเฉียงใต้ >ภาพ: จัดวางตำแหน่งสระว่ายน้ำในทิศตะวันตกเฉียงใต้หรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อให้ลมพัดพาความเย็นจากไอน้ำเข้าบ้าน >. >## 2. ลดร้อนให้บ้าน >แนวทางหลักของการลดร้อนให้บ้านโมเดิร์นคือการเลือกใช้วัสดุที่อมความร้อนต่ำ ฉนวนกันความร้อน และอีกวิธีคืออาศัยการออกแบบเข้าช่วย โดยยังคงหลักการป้องกันความร้อน และการระบายอากาศร้อนออกจากบ้านก่อนที่จะผ่านเข้ามาในบ้านให้มากที่สุด >. >๐ ลดร้อนที่หลังคา >หากเป็นหลังคาดาดฟ้าคอนกรีต สามารถลดร้อนที่หลังคาด้วยการทาสีกันซึมดาดฟ้าที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน หรือติดตั้งกระเบื้องปูพื้นดาดฟ้า เพื่อไม่ให้ความร้อนโดนพื้นผิวดาดฟ้าโดยตรงและมีช่องว่างให้อากาศได้หมุนเวียนและระบายความร้อนได้ นอกจากนี้ หากสามารถออกแบบใช้งานพื้นที่หลังคาให้เป็นสวนดาดฟ้า หรือทำหลังคาคลุมพื้นที่ดาดฟ้าให้เข้ากับสไตล์บ้าน ก็เป็นอีกแนวทางที่ช่วยลดร้อนให้กับหลังคาดาดฟ้าได้เป็นอย่างดี >ทาสีกันซึมดาดฟ้า, ติดตั้งกระเบื้องปูพื้นดาดฟ้า >ภาพ: (ซ้าย)ทาสีกันซึมดาดฟ้าสะท้อนความร้อน, (ขวา) ติดตั้งกระเบื้องปูพื้นดาดฟ้า >พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนที่มีหลังคาคลุมพื้นที่ดาดฟ้า >ภาพ: พื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนที่มีหลังคาคลุมพื้นที่ดาดฟ้าเข้ากับสไตล์บ้าน >. >หากเป็นหลังคาเพิงแหงนที่มักใช้วัสดุมุงหลังคาเป็นเมทัลชีท ควรเลือกรุ่นที่บุฉนวนกันความร้อนมาด้วย เพราะสามารถป้องกันได้ทั้งความร้อนและเสียงควบคู่กัน >ระบบหลังคาเมทัลรูฟ, หลังคาเมทัลรูฟ >ภาพ: (ซ้าย)ระบบหลังคาเมทัลรูฟ เอสซีจี รุ่นคอมฟอร์ท ลอน Snap Lock, (ขวา)หลังคาเมทัลรูฟ >. >สนใจ หลังคาเมทัลรูฟ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >. >ทั้งนี้ หากมีพื้นที่โถงหลังคาที่มีระยะเหนือฝ้าเพดานมากกว่า 1 เมตร ควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนเหนือฝ้าเพดานอีกชั้นหนึ่ง รวมถึงทำช่องทางระบายอากาศเพิ่มเติม เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่จะผ่านลงมาในบ้านให้ดียิ่งขึ้น >ติดตั้งฉนวนกันความร้อน >ภาพ: ติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool เหนือฝ้าเพดาน >. >๐ ลดร้อนที่ผนัง >ควรเลือกใช้วัสดุผนังที่อมความร้อนน้อยอย่างอิฐมวลเบา หรือหากเป็นผนังด้านที่รับแดดตลอดทั้งวันจนเกิดความร้อนสะสมมาก อาจติดตั้งฉนวนกันความร้อนในผนังร่วมด้วย เพื่อช่วยเพิ่มค่าความต้านทานความร้อนมากยิ่งขึ้น หรือออกแบบผนังซ้อนอีกชั้นเป็น Facade หรือ Double Skin ก็ได้ >ติดตั้งฉนวนกันความร้อน Cool Wall >ภาพ: ติดตั้งฉนวนกันความร้อน Stay Cool รุ่น Cool Wall พร้อมระบบผนังโครงเบาช่วยเพิ่มค่าความต้านทานความร้อน >ทำผนัง 2 ชั้นด้านทิศตะวันตก >ภาพ: ทำผนัง 2 ชั้นด้านทิศตะวันตก เพื่อลดการปะทะความร้อนจากแสงแดดโดยตรงที่ผนังด้านใน >. >## 3. การเพิ่มร่มเงาให้ผนังและช่องเปิด >หากเราสามารถเพิ่มร่มเงาให้กับบ้านได้ ป้องกันแสงแดดส่องโดยตรง เสมือนเวลาเราอยู่ในร่มต้นไม้กลางแจ้ง เป็นอีกแนวทางที่ช่วยป้องกันความร้อน ช่วยดูแลรักษาบ้าน ยืดอายุการใช้งานให้บ้านสวยทนด้วย >. >๐ การยื่นชายคา ระเบียง หรือส่วนประกอบต่าง ๆ >บ้านกล่องที่มีหลังคาควรออกแบบให้มีชายคายื่นยาว ส่วนบ้านโมเดิร์นก็สามารถออกแบบระเบียงหรือกันสาด รวมถึงองค์ประกอบของบ้านให้ยื่นหนากว่าแนวผนังบ้าน เพื่อช่วยสร้างร่มเงาและกันแดดที่สาดเข้ามาภายในบ้าน ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันความร้อนที่จะปะทะเข้ามาโดยตรงแล้ว ยังช่วยทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายตาเมื่อมองออกไปภายนอก เพราะไม่เห็นแสงแดดที่จ้าเกินไป >ชายคาบ้านยื่นยาว >ภาพ: ชายคาบ้านยื่นยาวและการยื่นกรอบอาคารให้หนาช่วยเพิ่มร่มเงา ลดแสงแดดสาดเข้าบ้าน >กันสาดยิ่งกว้างยิ่งช่วยกันแดด >ภาพ: ออกแบบระเบียงหรือกันสาดยิ่งกว้างยิ่งช่วยกันแดดได้มากขึ้น >. >๐ การทำแผงกันแดด ระแนงกรองแสง >อีกวิธีที่ช่วยลดแสงแดดส่องและลดการสะสมความร้อนที่ผนัง คือการออกแบบระแนงกรองแสงเพื่อช่วยกันแดดที่ส่องผนังหรือช่องเปิดโดยตรง อาจมีเป็นบางส่วน หรือออกแบบเป็นลักษณะ Facade ตามสไตล์บ้านก็ได้ ภายในบ้านจะยังดูโปร่งมองเห็นภายนอกได้ ไม่ทำให้รู้สึกมืดทึบเกินไป แต่ช่วยพรางตาสร้างความเป็นส่วนตัวมากขึ้น >ติดตั้งระแนงไม้ในทิศตะวันตก >ภาพ: ติดตั้งระแนงไม้ในทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงใต้ และทิศใต้ เพื่อช่วยกรองแสงที่ช่องเปิด และลดการสะสมความร้อนที่ผนัง >ระแนงช่วยกรองแสงเข้ามาในห้อง >ภาพ: ระแนงช่วยกรองแสงเข้ามาในห้องและสร้างความเป็นส่วนตัวมากขึ้น >. >สนใจ ไม้ระแนง ไม้ตกแต่ง คลิก\{.button .newtab} {.centered} >. >## 4. พื้นที่สีเขียวรอบบ้าน >แนวทางพื้นฐานสำหรับบ้านในเมืองร้อนหากมีพื้นที่รอบบ้านเพียงพอ คือการปลูกต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะทางทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อให้ร่มเงากับบ้าน สวนพื้นภายนอกบ้านควรลดการใช้วัสดุที่อมความร้อนอย่างพื้นปูน เพราะอมความร้อนได้ดีและแผ่ความร้อนเข้าบ้านด้วย ควรเป็นพื้นสนามหญ้า พืชคลุมดิน หรือปลูกหญ้าสลับกับแผ่นหิน แผ่นทางเดินในสวน และหากมีพื้นที่มากพออาจทำสระน้ำ บ่อปลา หรือสระว่ายน้ำ ก็ยิ่งช่วยให้บ้านเย็นขึ้นได้ >เพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบบ้าน ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา >ภาพ: เพิ่มพื้นที่สีเขียวรอบบ้าน ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา >. >สำหรับบ้านสไตล์โมเดิร์นที่กำลังประสบปัญหาความร้อนอยู่ เช่น บ้านจัดสรร บ้านสำเร็จรูปที่ไม่ได้ถูกออกแบบตามที่ดิน ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการติดตั้งระบบหรืออุปกรณ์ช่วยลดความร้อนเพิ่มเติม เช่น การติดฟิล์มกรองแสงให้กับกระจกช่องประตูหน้าต่าง การติดผ้าม่านหรือมู่ลี่ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาเพื่อป้องกันความร้อนจากหลังคาลงสู่บ้าน การติดตั้งหลังคาหรือกันสาดเหนือประตู-หน้าต่าง การติดตั้งระแนงบังแดด ฯลฯ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสวยงาม โดยอาจปรึกษาสถาปนิกหรือผู้เชี่ยวชาญถึงแนวทางการแก้ไขและออกแบบที่เข้ากับสไตล์บ้านต่อไป >. >อ่านเพิ่มเติม: 5 แนวทางลดร้อนจากหลังคาดาดฟ้าให้บ้านกล่องและตึกแถว >อ่านเพิ่มเติม: กันร้อน สร้างนิรภัยให้บ้าน เลือกกระจกลามิเนต หรือกระจกติดฟิล์มดี? >อ่านเพิ่มเติม: 5 เรื่องน่ารู้ ก่อนติดฉนวนกันความร้อน STAY COOL ให้บ้านเย็น >อ่านเพิ่มเติม: 4 เช็คลิสต์น่ารู้ Active AIRflow™ System เหมาะกับบ้านแบบไหน ?
โครงหลังคาเหล็ก และ โครงหลังคาสำเร็จรูป ล้วนเป็นโครงหลังคาที่ออกแบบมาเพื่อรองรับวัสดุมุงหลังคาทุกประเภท แต่ก็มีข้อแตกต่างเรื่องคุณสมบัติ ขั้นตอนการทำงานของช่างที่หน้างาน รวมถึงข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา > การก่อสร้างบ้านสักหนึ่งหลังให้มีความแข็งแรงนั้น สิ่งสำคัญคงหนีไม่พ้นโครงสร้างบ้านที่แข็งแรง ซึ่งนอกจากงานโครงสร้างใต้ดิน งานโครงสร้างบนดินแล้ว งานโครงสร้างหลังคาก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักวัสดุมุงหลังคา (กระเบื้องหลังคา) และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ทั้งหมด ให้สามารถปกป้องบ้านเราจากแดด ฝน ลมพัดแรงๆ ได้เป็นอย่างดี งานโครงสร้างหลังคาจึงต้องถูกออกแบบคำนวณมาอย่างเหมาะสม ติดตั้งอย่างถูกวิธี เชื่อมยึดอย่างแน่นหนา เพื่อให้มีความแข็งแรงและช่วยลดปัญหาหลังคารั่วซึม ปัจจุบันก็มีโครงสร้างหลังคาที่นิยมและมีความแข็งแรงคือ “โครงหลังคาเหล็ก” และ “โครงหลังคาสำเร็จรูป” ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งเรื่องคุณสมบัติ ลักษณะการใช้งาน ขั้นตอนการทำงานของช่างที่หน้างาน รวมถึงข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา สนใจบริการติดตั้งโครงหลังคาบ้านใหม่ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## โครงหลังคาเหล็ก หาซื้อง่าย ตอบโจทย์รูปทรงหลังคาได้หลากหลาย >สำหรับโครงหลังคาเหล็ก ประกอบจากเหล็กรูปพรรณที่มีหน้าตัดต่างๆ ตามที่วิศวกรออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น เหล็กกล่อง และเหล็กรูปตัวซี เหล็กรูปพรรณสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านค้าเหล็กรูปพรรณต่างๆ ขนาดความยาวเหล็กที่ขายตามร้านทั่วไปจะอยู่ที่ 6 เมตรเพื่อให้ขนส่งได้สะดวก หากต้องการความยาวมากกว่านี้ก็สามารถสั่งพิเศษได้ แต่มีข้อควรคำนึงคือเรื่องคุณภาพเหล็ก ควรเลือกเหล็กที่ได้มาตรฐาน หรือที่เรียกว่า “เหล็กเต็ม” ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรับแรงตามมาตรฐาน โดยสังเกตที่เครื่องหมายแสดงมาตรฐาน เช่น มอก., ASTM, BSI, JIS ฯลฯ ซึ่งจะระบุไว้ที่เหล็กแต่ละท่อน แต่หากเป็นเหล็กรีดซ้ำ หรือเหล็กที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิลมาที่เรียกว่า “เหล็กเบา” ที่แม้จะมีราคาถูกกว่า แต่มีประสิทธิภาพในการรับแรงด้อยกว่าเหล็กเต็มพอสมควรเลย >การสั่งเหล็กควรมีการคำนวณความยาวให้พอดีตามการใช้งานให้มากที่สุด เพื่อให้เหลือเศษน้อยที่สุด โดยเศษเหล็กที่เหลือสามารถนำไปขายเพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป (ราคาจะถูกลงเกินครึ่ง) โครงหลังคา โครงหลังคาเหล็ก วัสดุโครงหลังคา >ภาพ: ควรเลือกใช้เหล็กโครงหลังคาที่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม >## การติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก > จะเป็นลักษณะการติดตั้งที่หน้างานทั้งหมด จึงต้องอาศัยช่างฝีมือที่มีประสบการณ์ โดยก่อนการติดตั้งต้องมีการทาสีกันสนิมให้ทั่วทุกด้านของผิวเหล็กก่อน (หากเป็นเหล็กกล่องต้องใช้วิธีการชุบสีกันสนิมเพื่อให้สีเคลือบผิวทั่วทั้งด้านในและด้านนอก) จากนั้นจึงติดตั้งและเชื่อมเหล็กตามวิธีมาตรฐาน (การเชื่อมเหล็ก ขั้นแรกจะเป็นลักษณะการเชื่อมแต้มเพื่อยึดเหล็กแต่ละท่อนไว้ก่อนเผื่อมีการแก้ไขหรือต้องขยับตำแหน่งบางจุด เมื่อติดตั้งได้ตรงตามแบบแล้ว จากนั้นจึงเชื่อมเต็มเพื่อความแน่นหนาและแข็งแรง) เมื่อติดตั้งและเชื่อมเหล็กทุกจุดเรียบร้อยแล้วก็ทาสีกันสนิมซ้ำอีกรอบ และเน้นบริเวณที่เป็นรอยเชื่อมเหล็กด้วย โครงหลังคา โครงหลังคาเหล็ก วัสดุโครงหลังคา >ภาพ: การเชื่อมเหล็ก แนะนำให้เชื่อมเต็มแบบที่ได้มาตรฐาน >โครงหลังคาเหล็ก สามารถตอบโจทย์รูปทรงหลังคาได้ค่อนข้างอิสระ จึงเหมาะกับบ้านทุกสไตล์ เพราะคุณสมบัติเรื่องความยืดหยุ่น ดัดโค้งได้ และระยะของโครงสร้างเหล็กที่ยื่นได้ไกลตามความสามารถของเหล็กที่คำนวณไว้ ทำให้สามารถรองรับหลังคาทรงเหลี่ยม ทรงโค้ง รวมถึงรูปแบบหลังคาที่หวือหวาท้าทายได้ตามต้องการ ที่สำคัญควรให้วิศวกรโครงสร้างที่มีใบประกอบวิชาชีพเป็นคนออกแบบคำนวณโครงหลังคาเหล็กให้เพื่อความมีมาตรฐานและความปลอดภัย โครงหลังคา บ้านที่มีหลังคาทรงโค้ง โครงหลังคาเหล็ก วัสดุโครงหลังคา >ภาพ: บ้านที่มีหลังคาทรงโค้ง ชายคาที่ยื่นยาว รูปทรงโฉบเฉี่ยวจากโครงสร้างหลังคาเหล็ก สนใจบริการติดตั้งโครงหลังคาบ้านใหม่ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## โครงหลังคาสำเร็จรูป ทนสนิม ติดตั้งง่าย ไม่มีเศษเหลือทิ้งที่หน้างาน >โครงหลังคาสำเร็จรูป หรือเรียกกันติดปากว่า “โครงหลังคากัลวาไนซ์” เป็นโครงที่ผลิตจากเหล็กที่มีกำลังดึงสูง และผ่านการเคลือบผิวป้องกันสนิมด้วยอะลูมิเนียมซิงค์ หรือแมกนีเซียมซิงค์ มีราคาสูงกว่าโครงหลังคาเหล็ก สามารถสั่งทำพิเศษให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมนั้นๆ ได้ เช่น สำหรับใช้ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ทะเลหรือบริเวณที่มีกรดเกลือสูง เป็นต้น โครงหลังคาสำเร็จรูปจะถูกผลิตและตัดขนาดแต่ละท่อนจากโรงงานให้ตรงตามแบบพอดีที่จะก่อสร้างที่หน้างานจริง แล้วจึงนำมาประกอบที่หน้างานก่อสร้างโดยช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งติดตั้งโดยใช้ตะปูเกลียว (สกรู) ยึดแต่ละท่อนเข้าด้วยกันตามแบบ จะไม่มีการเชื่อมเหล็กหรือเก็บงานกันสนิม จึงติดตั้งได้รวดเร็วและแม่นยำ ถือได้ว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยลดปริมาณขยะจากงานก่อสร้างได้เป็นอย่างดี โครงหลังคา โครงหลังคาสำเร็จรูป หลังคาโครง Truss โครง Truss โครงถักหลังคา หลังคาโครงถัก หลังคาโครงทรัส วัสดุโครงหลังคา โครงหลังคากัลวาไนซ์ >ภาพ: ชิ้นส่วนโครงหลังคาสำเร็จรูปกัลวาไนซ์ตัดมาจากโรงงาน ติดตั้งโดยการยิงตะปูเกลียว >ด้วยความที่โครงหลังคาสำเร็จรูปมีลักษณะเป็นโครงถัก (โครง Truss) ซึ่งประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนของเหล็กกัลวาไนซ์หลายๆ ท่อน ไม่สามารถทำระยะยื่นชายคาได้มากนัก ทำให้มีข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา จึงเหมาะกับหลังคาที่มีรูปทรงที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไป (ไม่เหมาะกับรูปทรงหลังคาที่หวือหวาหรือโฉบเฉี่ยว) เช่น หลังคาทรงจั่ว ทรงปั้นหยา ฯลฯ อีกทั้งงานออกแบบโครงหลังคาสำเร็จรูปจะต้องอาศัยวิศวกรที่มีความรู้เฉพาะและต้องใช้บริการจากผู้ผลิตเฉพาะรายเท่านั้น โครงหลังคา โครงหลังคาสำเร็จรูป หลังคาโครง Truss โครง Truss โครงถักหลังคา หลังคาโครงถัก หลังคาโครงทรัส วัสดุโครงหลังคา โครงหลังคากัลวาไนซ์ >ภาพ: โครงหลังคาสำเร็จรูปมีข้อจำกัดเรื่องรูปทรงหลังคา จึงเหมาะกับรูปทรงหลังคาปั้นหยาและหน้าจั่วที่พบเห็นได้ทั่วไป >สรุปแล้ว ถ้าเทียบโครงหลังคาเหล็กและโครงหลังคาสำเร็จรูป กับงานหลังคารูปทรงเดียวกันวัสดุเดียวกันแล้ว การเลือกใช้โครงหลังคาสำเร็จรูปจะมีราคาโดยรวม (ทั้งค่าของและค่าแรง) สูงกว่าโครงหลังคาเหล็กอยู่พอสมควร แต่สามารถมั่นใจได้ในเรื่องมาตรฐานและการรับประกันผลงานหลังการติดตั้ง ส่วนโครงหลังคาเหล็กนั้นจะสามารถตอบโจทย์งานออกแบบที่หลากหลายกว่า เมื่อมีการรื้อถอนโครงสร้างก็สามารถนำไปขายต่อได้ แต่ต้องควบคุมช่างให้ติดตั้งได้ตามมารตรฐาน ดังนั้น ในการเลือกใช้เราควรพิจารณาถึงความเหมาะสมและตอบโจทย์แต่ละบ้านให้ได้มากที่สุด สนใจบริการติดตั้งโครงหลังคาบ้านใหม่ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >อ่านเพิ่มเติม: 11 รูปทรงหลังคาสำหรับบ้านใหม่
เก้าอี้ทำงานที่ดีจะช่วยทำให้นั่งสบาย นั่งได้นานไม่ปวดเมื่อยแถมทำงานได้มีประสิทธิภาพ >ไม่ว่าจะเป็นคนวัยทำงานหรือจะเป็นวัยเรียนก็ตามแต่ เรามักจะใช้เวลาอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเราเฉลี่ยต่อวันประมาณ 7-8 ชั่วโมงหรือสำหรับบางคนอาจจะมากกว่านั้น ซึ่งหากเรามีเก้าอี้ที่ดี นั่งสบาย นั่งได้นานไม่ปวดเมื่อย รองรับสรีระ จะช่วยให้เราผ่อนคลายและไม่มีอาการปวดเมื่อยบริเวณหลัง คอ บ่า สะโพก บั้นท้าย ที่นอกจากจะเกิดอาการปวดเมื่อยแล้ว ยังเป็นต้นเหตุทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูกมากวนใจในอนาคตได้อีกด้วย วันนี้ SCG HOME มีวิธีเลือกเก้าอี้ทำงานที่ดีต่อสุขภาพ นั่งสบายตลอดทั้งวันทั้งหมด 8 วิธีมาแชร์กัน 1. เก้าอี้ทำงานควรสูงพอดีกับช่วงขาของเรา >ถึงแม้ส่วนสูงของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่เราสามารถหาเก้าอี้ที่สูงเหมาะพอดีหรือเลือกเก้าอี้ที่ปรับระดับที่นั่งสูง/ต่ำให้พอดีกับเราได้ โดยการใช้ความยาวช่วงขาเป็นตัวกำหนดความสูงของเก้าอี้ทำงาน เป็นไปได้ควรลองนั่งเก้าอี้โดยให้หลังพิงพนัก วางฝ่าเท้าพอดีกับพื้นในแนวระนาบ หัวเข่าตั้งเป็นมุมฉาก ส่วนของต้นขาไม่ต่ำหรือสูงกว่าหัวเข่า ความสูงเก้าอี้ที่พอดีกับช่วงขาของเราจะช่วยให้นั่งนานไม่เมื่อย นั่งสบาย และยังช่วยจัดสรีระไม่ให้กระดูกขาและสะโพกผิดรูปในระยะยาว Articlecover1 ภาพ: ตัวอย่างการเลือกเก้าอี้สำนักงานที่พอดีกับช่วงขา 2. ความกว้างและความลึกของเก้าอี้ทำงานต้องพอดีกับสรีระของเรา >ความกว้างและความลึกของที่นั่งเก้าอี้ ควรจะพอดีกับช่วงตักและกว้างพอดีกับสะโพก ของเรา ไม่ควรแคบหรือกว้างเกินไป เพราะจะทำให้นั่งแล้วเมื่อย อึดอัด นั่งไม่สบายตลอดทั้งวัน articlecover2 ภาพ: หากเราเลือกไม่พอดีกับสรีระจะเกิดอาการปวดและนั่งไม่สบาย 3. การรองรับสรีระของพนักพิงต้องพอดี >พนักพิงของเก้าอี้ควรเคลื่อนไหวทำมุมได้ในขณะนั่ง ความโค้งของพนักพิงในช่วงหลังรองรับสรีระของเรา ไม่ควรเลือกเก้าอี้ที่พนักพิงไม่สามารถขยับได้ หรือตั้งตรงเป็นฉาก เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อกระดูกสันหลังได้ในอนาคต articlecover3 ภาพ: เก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพที่พนักพิงสามารถเคลื่อนไหวได้ 4. ตรวจสอบน้ำหนักของเก้าอี้ทำงานของเรา >น้ำหนักของเก้าอี้ทำงานก็สำคัญเช่นกัน เก้าอี้ทำงานที่ดีที่มีมาตรฐานจะต้องมีน้ำหนักที่เหมาะสม โดยหนักพอสมควร และต้องมีฐานล้อที่กว้างกว่าส่วนที่นั่งและพนักพิง เพื่อรองรับน้ำหนักของเราได้ดี Articleover4 ภาพ: ตัวอย่างเก้าอี้สำนักงานที่ฐานล้อเหมาะสม 5. มีที่เท้าแขนเพื่อพักแขน ข้อศอก >เก้าอี้ทำงานควรมีที่เท้าแขนหรือข้อศอกในระดับที่พอดี วางแขนแล้วได้มุมฉากในแนวหักข้อศอกเพื่อช่วยผ่อนคลาย หากไม่มีจะทำให้เราเผลอเท้าแขนกับโต๊ะทำงานแทน ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ปวดเมื่อยไหล่ บ่า และอาจลามไปถึงคอ เนื่องจากเกร็งกล้ามเนื้อนานโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง articlecover5 ภาพ: ตัวอย่างเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพที่มี ที่เท้าแขน 6. ผ้าบุส่วนเบาะพนักพิงสามารถรองรับสรีระและระบายอากาศได้ดี >นอกจากจะเลือกพนักพิกที่เคลื่อนไหวปรับตามสรีระของเราได้แล้ว ควรเลือกเก้าอี้ที่มีวัสดุผ้าบุพนักพิงให้สามารถรับหลังของเรา ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป ผ้าบุควรทำจากวัสดุที่ยืดหยุ่น รับน้ำหนักและคืนรูปได้ดี รวมถึงสามารถระบายอากาศได้ดีด้วย articlecover6 ภาพ: ตัวอย่างเก้าอี้สำนักงานที่ระบายอากาศได้ดี 7. โครงสร้างของเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ >ควรเลือกเก้าอี้ทำงานที่มีความแข็งแรงทนทาน รองรับน้ำหนักได้ดี เพื่อการใช้งานในระยะยาว ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายวัสดุ เช่น เหล็กชุบโครเมียม สเตนเลส อะลูมิเนียม พลาสติก ซึ่งมักต่างกันที่ราคาและมีความแข็งแรงทนทานต่อการใช้งานต่างกัน Articlecover7 ภาพ: ตัวอย่างโครงสร้างเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพ 8. ควรเลือกเก้าอี้นั่งทำงานที่มีล้อเลื่อน >การเลือกเก้าอี้ทำงานที่มีล้อเลื่อนจะช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับเรา ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายเก้าอี้ หรือการลุก/นั่ง เข้า/ออกจากโต๊ะทำงานเพื่อไปทำกิจกรรมอื่น ๆ Articlecover8 ภาพ: ตัวอย้่งเก้าอี้ทำงานล้อเลื่อนที่เคลื่อนไหวสะดวก >เป็น 8 วิธีการเลือกเก้าอี้ทำงานเพื่อสุขภาพง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในการเลือกเก้าอี้ทำงานที่นั่งสบายและเหมาะสมกับตัวเองได้ นอกจากจะใช้งานได้ตรงตามความต้องการและยังช่วยดูแลสุขภาพของเราได้ในระยะยาวด้วย
ระเบียงคอนโดที่ใคร ๆ ก็เอาไว้ตากผ้า เพราะเป็นที่เดียวที่แสงแดดจะส่องถึง แต่ในปัจจุบันคอนโดหลาย ๆ แห่งมักจะมีบริการซักอบแห้งใกล้ ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกับคนที่อาศัยอยู่คอนโดเพราะแทบไม่ต้องเสียเวลามาตากผ้าเลย ดังนั้นจึงเหลือพื้นที่ระเบียงคอนโดทิ้งไว้ บ้างก็ปล่อยให้ฝุ่นเกาะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เพราะคิดว่าพื้นที่น้อยนิดตรงนี้คงทำอะไรได้ไม่มาก อีกทั้งคอนโดส่วนใหญ่มักจะมีพื้นที่ระเบียงค่อนข้างจำกัดเพียงไม่กี่เมตร > แต่ช้าก่อน.. สำหรับใครที่อยู่คอนโดแล้วอยากมีพื้นที่สีเขียวให้ร่มรื่นสบายตาสบายใจ หรือใช้เป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจในวันที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน การจัดสวนเล็ก ๆ ที่ระเบียงคอนโดนี่แหละถือเป็นไอเดียที่ดีเลย เพราะคุณสามารถนั่งรับลมเย็น ๆ เห็นวิวสวย ๆ บนตึกสูงได้สบาย วันนี้ SCG Home จึงมีไอเดียจัดสวนเล็ก ๆ ที่ระเบียงคอนโดมาฝาก.. พื้นที่จำกัดก็สามารถจัดสวนให้สวยได้เหมือนกันนะ จัดสวน ไอเดียจัดสวน จัดสวนเล็ก ๆ จัดสวนระเบียงคอนโด จัดสวนแนวตั้ง แต่งระเบียงคอนโด >ภาพ: ตกแต่งระเบียงคอนโดให้กลายเป็นมุมพักผ่อนด้วยการจัดสวนเล็กๆ >## 1. ตกแต่งพื้นระเบียงด้วยการปูหญ้าเทียมเขียวชะอุ่ม >เปลี่ยนพื้นระเบียงธรรมดาให้เป็นพื้นหญ้าเทียมเขียวชะอุ่ม เหมาะสำหรับคนที่ชอบให้พื้นระเบียงมีสีเขียวเสมือนหญ้าจริงและสามารถเดินเท้าเปล่าให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในสวน หญ้าเทียมนับว่าตอบโจทย์อย่างมาก เพราะนอกจากจะทนน้ำทนแดดแล้วนั้น ราคาก็ไม่สูงเท่าใดนัก และยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน การดูแลรักษาก็ค่อนข้างง่าย สามารถกวาดเศษขยะได้ตามปกติ หรือถอดไปแช่น้ำและล้างทำความสะอาดได้ SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน หญ้าเทียม หญ้าปลอม >ภาพ: ระเบียงปูหญ้าเทียมเพิ่มความเขียวชะอุ่ม ใกล้ชิดธรรมชาติ สนใจ หญ้าเทียม คลิก\{.button .newtab} {.centered} สนใจ ต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวน คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## 2. ตกแต่งมุมพักผ่อนด้วยกระถางต้นไม้เรียบง่ายแต่วางตรงไหนก็สวย >หากต้องการให้ระเบียงมีมุมพักผ่อน มีพื้นที่นั่งเล่นหรือนอนอ่านหนังสือได้ ควรเลือกตกแต่งระเบียงด้วยการวางกระถางต้นไม้ ซึ่งจะวางกระถางต้นไม้ขนาดเล็กหรือใหญ่สลับกันก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงหลัก ๆ คือ หากคุณเลือกวางกระถางต้นไม้จริงควรเลือกพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่าย หรือหากใครไม่มีเวลาดูแลก็สามารถเลือกเป็นกระถางต้นไม้เทียมสำเร็จรูป (ต้นไม้ปลอม) ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาด และหลายพันธุ์ไม้ ที่สำคัญต้นไม้เทียมมีน้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวกสามารถใช้เป็นพร็อพในการถ่ายรูปริมระเบียงได้ SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน กระถางดอกไม้ ต้นไม้ปลอม ต้นไม้เทียม >ภาพ: ตกแต่งระเบียงด้วยกระถางต้นไม้จริงและต้นไม้ปลอม สนใจ ต้นไม้เทียม คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## 3.สวนแนวตั้งเหมาะกับระเบียงคอนโดพื้นที่แคบ >สวนแนวตั้งเป็นที่นิยมมากสำหรับคนที่อาศัยอยู่คอนโดหรืออะพาร์ตเมนต์หรือค่อนข้างมีพื้นที่จำกัดในการจัดสวน แต่การจัดสวนแนวตั้งก็มีสิ่งที่ต้องคำนึงเช่นกัน ใช่ว่าจะเลือกพืชพรรณไหนมาปลูกก็ได้ แต่ต้องเลือกพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย ใช้เครื่องปลูกเบาอย่างกะลามะพร้าว สามารถเกาะเกี่ยวตามกิ่ง อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้ เช่น โครงเหล็ก ลวดไม้ ตาข่าย และที่สำคัญต้องทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้น แดด ลม ฝนของบ้านเราอีกด้วย >การจัดสวนแนวตั้งสามารถทำได้หลายแบบดังนี้ >1. มีชั้นวางให้สามารถวางกระถางต้นไม้หรือแขวนได้ แน่นอนว่าข้อดีคือความสวยงามร่มรื่น แต่ต้องขยันรดน้ำต้นไม้ด้วย SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน สวนแนวตั้ง >ภาพ: การจัดสวนแนวตั้งโดยการวางกระถางต้นไม้หรือแขวน >2. ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการทำสวนแนวตั้ง เช่น ระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งในชุด เหมาะกับมือใหม่ที่ต้องการเริ่มทำสวนแนวตั้ง เพราะติดตั้งง่ายและรวดเร็ว SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน สวนแนวตั้ง โมดูล่า Modular Green Hive SCG เอสซีจี >ภาพ: อุปกรณ์เสริมสำหรับการทำสวนแนวตั้งด้วยระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ >## ข้อดีของระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ >- ติดตั้งกับผนังได้ทุกรูปแบบ ได้แก่ ผนังอิฐมอญ, ผนังอิฐมวลเบา, ผนังอิฐบล็อกกรอกปูนเต็มช่อง, ผนังโครงเบา เพียงแค่ใช้อุปกรณ์เจาะผนังก็สามารถติดตั้งได้ง่าย ๆ SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน สวนแนวตั้ง โมดูล่า Modular Green Hive SCG >ภาพ: ระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ ติดตั้งกับผนังได้ทุกรูปแบบ >- ปลูกต้นไม้ได้หลากหลาย เนื่องจากระบบจัดสวนแนวตั้ง รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ ใน 1 ชุด สามารถเลือกปลูกพันธุ์ไม้ได้หลากหลายถึง 16 กระถาง SCGHome-จัดสวนระเบียงคอนโด สวนแนวตั้ง โมดูล่า Modular Green Hive >ภาพ: ระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ ปลูกพันธุ์ไม้ได้หลากหลาย >- ออกแบบระบบร่องน้ำ Overflow ทำให้ต้นไม้โตไว สามารถรดน้ำต้นไม้ข้างบนเพียงครั้งเดียว น้ำจะไหลจากข้างบนลงข้างล่าง รดน้ำสะดวกยิ่งขึ้น ประหยัดเวลา และน้ำยังไหลได้ทั่วถึงทุกต้น จึงทำให้ต้นไม้สมบูรณ์แข็งแรงและโตไว SCGHome-ระบบสวนแนวตั้ง สวนแนวตั้ง โมดูล่า Modular Green Hive SCG สนใจ ระบบสวนแนวตั้งเอสซีจี รุ่น โมดูล่า กรีนไฮฟ์ คลิก\{.button .newtab} {.centered} สนใจ ต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวน คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## 4. ตกแต่งพื้นระเบียงแผ่นยางปูพื้น Mix & Match การวางได้หลากหลายสไตล์ >การตกแต่งพื้นระเบียงด้วยแผ่นปูพื้น Moolar ใช้ได้ทั้งภายในและภายนอก มีให้เลือก 3 สี (เขียว น้ำตาล แดง) ข้อดีคือ พื้นไม่ลื่น ติดตั้งง่าย รวดเร็ว นำไปใช้ซ้ำได้อีกเรื่อย ๆ อายุการใช้งานยาวนาน นอกจากนี้ยังสามารถ Mix & Match สีสันรูปแบบการวางได้หลากหลายตามต้องการ SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน แผ่นปูพื้น แผ่นยางปูพื้น MOOLAR >ภาพ: แผ่นยางปูพื้น MOOLAR SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน แผ่นยางปูพื้น MOOLAR >ภาพ: พื้นระเบียงแผ่นยางปูพื้น MOOLAR สนใจ แผ่นยางปูพื้น MOOLAR คลิก\{.button .newtab} {.centered} >## 5. จัดสวนริมระเบียงด้วยโต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ จิบชากาแฟยามเช้า >โต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ ริมระเบียงคอนโดเป็นอีกหนึ่งไอเทมเด็ดที่สายแต่งบ้านมักจะต้องมี ส่วนใหญ่มักจะเป็นโต๊ะขนาดนั่ง 2 ที่นั่ง เป็นมุมพักผ่อนหรือพักสายตาได้ดีเลยทีเดียว จะนั่งชิลจิบชากาแฟยามเช้าก่อนเริ่มทำงานหรือจะเป็นมุมชิล ๆ กลางคืนก็ดีไม่น้อย SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน โต๊ะเก้าอี้ริมระเบียง แต่งระเบียงคอนโด >ภาพ: โต๊ะเก้าอี้เล็ก ๆ สร้างบรรยากาศมุมพักผ่อนริมระเบียง SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน จัดสวนเล็กๆ จัดสวนระเบียงคอนโดแต่งระเบียงคอนโด >ภาพ: มุมพักผ่อนริมระเบียงกับโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งสำหรับ 2 ที่นั่ง >## 6. จัดสวนดอกไม้สีสันสดใส ดูมีชีวิตชีวา >สวนดอกไม้สีสันสดใสเพิ่มความมีชีวิตชีวา เพิ่มความโดดเด่นให้ระเบียงดูสวยแปลกตาน่ามองมากยิ่งขึ้น และมักจะเลือกปลูกในกระถางต้นไม้ สามารถเลือกจัดวางด้วยการตั้งพื้นหรือแขวนที่ระเบียงก็ได้เช่นกัน ควรเลือกไม้ดอกตามสภาพอากาศ เพราะไม้ดอกบางชนิดชอบแดด บางชนิดชอบอยู่ในร่มแดดรำไร SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน สวนดอกไม้ >ภาพ: การปลูกดอกไม้สีสันสดใสริมระเบียง เพิ่มความมีชีวิตชีวา SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน สวนดอกไม้ กระถางดอกไม้ >ภาพ: การปลูกดอกไม้สีสันสดใสริมระเบียงในกระถางต้นไม้ >## 7. เลือกปลูกต้นไม้ฟอกอากาศ ดูดสารพิษ เพิ่มออกซิเจน >เลือกปลูกต้นไม้ประเภทช่วยฟอกอากาศอย่าง เดหลี ว่านหางจระเข้ พลูด่าง เป็นต้น นอกจากจะช่วยประดับริมระเบียงให้สวยงามแล้วนั้นยังช่วยในเรื่องการฟอกอากาศบริสุทธิ์ได้ดีอีกด้วย ที่สำคัญต้นไม้ประเภทนี้ยังปลูกและดูแลง่ายไม่ซับซ้อน สำหรับใครที่กลัวว่าปลูกแล้วต้นไม้จะอยู่ได้ไม่นานแนะนำให้เลือกปลูกต้นไม้ประเภทช่วยฟอกอากาศนับว่าเป็นไอเดียที่ดีเลยทีเดียว SCGHome-จัดสวน ไอเดียจัดสวน ต้นไม้ฟอกอากาศ >ภาพ: การปลูกต้นไม้ฟอกอากาศช่วยดูดสารพิษและเพิ่มออกซิเจน >ไอเดียจัดสวนริมระเบียงคอนโดที่นำมาฝากกันข้างต้นสามารถนำไปใช้ได้จริงและปรับประยุกต์ใช้ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเรื่องพื้นหรือต้นไม้ที่เลือกมาตกแต่ง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือควรศึกษาวิธีการดูแลรักษาต้นไม้ก่อนเลือกนำมาปลูกเพราะต้นไม้บางชนิดก็ไม่เหมาะที่จะปลูกในกระถาง บางชนิดต้องการน้ำมาก บางชนิดไม่ต้องการแดด เป็นต้น หากใครไม่มีเวลาดูแลมากนักต้นไม้เทียมก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยตกแต่งได้สวยงามเช่นกัน สนใจ ต้นไม้และอุปกรณ์ตกแต่งสวน คลิก\{.button .newtab} {.centered}
อุปกรณ์ที่ช่วยลดความร้อนผ่านการระบายอากาศบริเวณโถงหลังคา อย่างระบบ Active AIRflow™ System และลูกหมุนระบายอากาศนั้น มีข้อแตกต่างที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนเลือกใช้ >การลดความร้อนในบ้าน ไม่ว่าจะเพื่อแก้ปัญหาบ้านร้อน หรือทำบ้านเย็นบ้านประหยัดพลังงานนั้น นอกจากจะหาวิธีป้องกันความร้อนไม่ให้เข้าบ้านแล้ว ยังต้องให้อากาศและความร้อนระบายออกไปได้ด้วย โดยเฉพาะการระบายอากาศที่ผ่านทั้งตัวบ้านและโถงหลังคาซึ่งเป็นส่วนที่ร้อนที่สุด ระบบ Active AIRflow™ System เป็นอีกอุปกรณ์ที่คิดค้นเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าของบ้านบางท่านอาจสงสัยว่า อย่างลูกหมุนระบายอากาศ หรือที่หลายคนเรียกว่า “พัดลมฟักทอง” ซึ่งใช้ติดกันบนหลังคา ก็น่าจะช่วยระบายอากาศในบ้านและลดความร้อนใต้หลังคาได้ แบบนี้ต่างกับระบบ Active AIRflow™ System หรือไม่ อย่างไร ? >## การระบายอากาศและความร้อนของระบบ Active AIRflow™ System >หลักการทำงานของระบบ Active AIRflow™ System จะรับเอาอากาศจากนอกบ้านผ่านช่องอุปกรณ์ “Fresh Intake Air Grille” ส่วนชุดพัดลมระบายอากาศบนฝ้าเพดาน“Ceiling Ventilator” จะทำหน้าที่ดูดทั้งอากาศและความร้อนขึ้นสู่โถงหลังคา และระบายออกนอกบ้านผ่านอุปกรณ์ “Solar Roof Tile Ventilator” ที่มีลักษณะเป็นปล่องอยู่บนหลังคา ระบายอากาศในบ้าน >ภาพ: อุปกรณ์ที่ช่วยเร่งการระบายอากาศและลดความร้อนในบ้าน ของระบบ Active AIRflow™ System >ระบบ Active AIRflow™ System ทำงานอัตโนมัติภายใต้การควบคุมของ Smart Control Box ซึ่งแสดงผลผ่าน Mobile Application ได้ด้วย โดยระบบจะทำงานต่อเนื่องเพื่อให้การระบายอากาศในบ้านมีประสิทธิภาพสูงสุด แม้ช่วงตกเย็นที่ไม่มีแดดระบบก็อาจยังคงทำงานอยู่ จนกว่าเซนเซอร์จะจับได้ว่าอากาศในบ้านอยู่ในสภาวะเหมาะสม ระบบจึงค่อยหยุดทำงาน ทั้งนี้ ก่อนติดตั้งระบบ Active AIRflow™ System จะต้องมีการสำรวจหน้างานเพื่อคำนวณจำนวนอุปกรณ์พร้อมตำแหน่งติดตั้งให้สัมพันธ์กับลักษณะและขนาดพื้นที่ >## การระบายอากาศและความร้อนของ “ลูกหมุนระบายอากาศ” หรือ “พัดลมฟักทอง” >ตัวลูกหมุนจะหมุนโดยอาศัย “การเคลื่อนที่ของอากาศ” (ทั้งจากลมและจากอากาศร้อนใต้หลังคาที่ลอยตัวสูงขึ้น) แรงหมุนของลูกหมุนจะดูดอากาศและความร้อนใต้หลังคาระบายออกไป โดยอัตราการดูดอากาศขึ้นอยู่กับความเร็วการหมุนและขนาดของตัวลูกหมุนเอง แต่ถ้าอยากให้การหมุนคงที่ ควรเลือกลูกหมุนระบายอากาศที่ใช้ไฟฟ้าและมอเตอร์ขับเคลื่อน >ข้อสำคัญในการใช้ลูกหมุนระบายอากาศในบ้าน คือ ควรจะมีช่องให้อากาศสามารถไหลเข้ามาภายในอาคารและโถงหลังคาได้ ลูกหมุนระบายอากาศจึงเหมาะกับโรงงาน ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดโล่งจากพื้นจรดหลังคาและมักเปิดประตูหน้าต่างเป็นเวลานาน ส่วนบ้านพักอาศัยทั่วไปที่ปิดประตูหน้าต่างเกือบทั้งวัน ทั้งยังมีฝ้าเพดานกั้นระหว่างโถงหลังคากับพื้นที่ภายในบ้าน การติดลูกหมุนระบายอากาศอาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เว้นเสียแต่ว่าจะเตรียมช่องสำหรับให้อากาศไหลเข้าบ้านรวมถึงบริเวณโถงหลังคา ในปริมาณที่เหมาะสมและสัมพันธ์กัน ก็จะสามารถระบายอากาศในบ้านพร้อมกับความร้อนออกไปได้ ระบายอากาศในบ้าน >ภาพ: “ลูกหมุนระบายอากาศ” หรือ “พัดลมฟักทอง” ซึ่งนิยมนิยมติดตั้งกับอาคารหรือโรงงานขนาดใหญ่ (ขอขอบคุณภาพ: www.pixabay.com) >ถ้าจะเทียบกันโดยสรุป บ้านที่ติดระบบ Active AIRflow™ System จะมีอัตราการระบายอากาศในบ้านที่ดีตลอด ด้วยเซ็นเซอร์ซึ่งคอยตรวจจับสภาวะอากาศและสั่งการให้ระบบทำงานอัตโนมัติ หากอากาศในบ้านมีสภาพเหมาะสม ระบบจะหยุดทำงาน จึงไม่ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยใช่เหตุ (ยิ่งถ้าใช้ร่วมกับแผง Solar Cell ที่เป็นอุปกรณ์เสริม จะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น) รวมถึงมีการสำรวจหน้างานเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ในจำนวนและตำแหน่งที่เหมาะสม ระบายอากาศในบ้าน >ภาพ: การติดตั้งแผง Solar System เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยประหยัดการใช้ไฟฟ้าสำหรับ ระบบ Active AIRflow™ System >อีกเรื่องที่สำคัญมากคือ บ้านที่ติดระบบ Active AIRflow™ System แม้จะปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ก็จะยังคงระบายอากาศและระบายความร้อนในบ้านได้ดี ส่วนบ้านที่ติดลูกหมุนระบายอากาศ หากลักษณะพื้นที่ไม่เหมาะสม รวมถึงไม่มีช่องทางให้อากาศไหลเข้าบ้านในปริมาณที่สัมพันธ์กับอากาศที่จะถูกดึงออกไป ก็อาจไม่ช่วยเรื่องการระบายอากาศและลดความร้อนในบ้านได้เท่าที่ควร สนใจติดตั้งระบบ Active AIRflow™ System คลิก\{.button .newtab} {.centered}
รีโนเวทบ้านจัดสรร ให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ลงตัวของคนทั้ง 3 วัยในครอบครัว ออกแบบให้ทุกรายละเอียดสะท้อนตัวตนเจ้าของบ้าน และเต็มไปด้วยความอบอุ่นปลอดภัย >เมื่อคำว่า “บ้าน” ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การเป็นที่อยู่อาศัย แต่กินความหมายไปถึง พื้นที่แห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว จึงเป็นที่มาที่ทำให้ คุณสารัช กมลธรไท เจ้าของแบรนด์มะขามชื่อดัง “มะขามสารัช” ตัดสินใจรีโนเวทบ้านจัดสรรที่เพิ่งซื้อใหม่ ผ่านบริษัทที่รู้ใจอย่าง Synonym Co.,Ltd. >จากทาวน์เฮ้าส์หลังเดิมที่อยู่กันได้แบบสบายๆ เมื่อครอบครัวขยายขึ้น คุณสารัชจึงขยับขยายย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้าน แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9 หลังนี้ และจากประสบการณ์เดิมที่เป็นคนชอบแต่งบ้านและลงมือจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำให้ลงตัวได้ยาก เช่น ของบางอย่างเห็นว่าสวยถูกใจ แต่พอซื้อมาจัดวางกับเฟอร์นิเจอร์แล้วก็เกิดความไม่เข้ากัน จึงคิดว่าให้มืออาชีพอย่างบริษัท Synonym เข้ามาดูแลจัดการให้น่าจะดีกว่า >โจทย์หลักที่คุณสารัชให้กับทางบริษัท Synonym คือ ต้องเป็นพื้นที่ที่ทั้ง 3 วัย คือ คุณพ่อคุณแม่, คุณสารัชกับภรรยา และลูกๆ อยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข ส่วนเรื่องสไตล์ ไม่ได้เน้นสไตล์ไหนเป็นพิเศษ แต่อยากให้บ้านหลังนี้สวยงามไปตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ซึ่ง Synonym ก็สามารถตอบโจทย์ทุกอย่างได้แบบเหนือความคาดหมาย >เริ่มตั้งแต่พื้นที่ชั้นล่าง ที่เน้นเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อให้คนในครอบครัวได้ใช้เวลาด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่น ที่ติดตั้งฉากบานเลื่อน เพื่อเพิ่มความเป็นสัดส่วนหากมีแขกมาเยี่ยมเยียน กลาสเฮ้าส์ ที่เป็นส่วนต่อเติม มีหลังคา Skylightด้านบน และออกแบบให้ประตูทุกด้านสามารถเปิดได้ เพื่อเชื่อมต่อกับสวนสีเขียวภายนอก และห้องเด็กเล่น ที่มีพื้นที่กว้างเพียงพอ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการของลูกๆ text >ภาพ: ห้องนั่งเล่นที่มีฉากบานเลื่อนสีทองกั้น สามารถแบ่งพื้นที่ใช้งานให้เป็นสัดส่วนได้เมื่อต้องการ text >ภาพ: กลาสเฮ้าส์ พื้นที่สำหรับพักผ่อน เชื่อมมุมมองกับสวนสีเขียวภายนอก text >ภาพ: ห้องเด็กเล่น ที่ตกแต่งอย่างน่ารักสดใส เป็นพื้นที่แห่งความสนุก พร้อมเสริมสร้างพัฒนาการเด็กไปพร้อมๆ กัน >นอกจากห้องเด็กเล่นแล้ว เฟอร์นิเจอร์ยังถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ลดเหลี่ยมมุมเพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็ก และก่อนทางขึ้นหรือลงบันไดทุกๆ ชั้นจะมีที่กั้นโลหะสีทอง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กๆ ด้วย text >ภาพ: โต๊ะทานข้าวที่ออกแบบให้ขอบโค้งมน เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ text >ภาพ: ที่กั้นตรงบันได ใช้วัสดุโลหะสีทอง สวยงามเข้ากับบรรยากาศโดยรวม >ห้องครัว จะเป็นเพียงห้องเดียวที่ตกแต่งในสไตล์ลอฟต์ เน้นการเลือกใช้วัสดุที่ดูแลทำความสะอาดง่าย โดดเด่นด้วยผนังอิฐสีส้ม ตัดกับท็อปเคาน์เตอร์ บานตู้ และกรอบหน้าต่างสีดำ text >ภาพ: ห้องครัวเน้นการใช้โทนสีเข้ม เพื่อให้ดูแลรักษาง่าย >เมื่อขึ้นไปชั้นสอง จะเจอกับมุมทำงานที่เปิดโล่ง แต่สร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัวด้วยฉากโปร่งเปิด-ปิดได้ ตกแต่งด้วยรายละเอียดที่พิถีพิถัน อย่าง ฉากฉลุลายข้างที่วางทีวี โคมไฟ และของตกแต่งอื่นๆ ที่บ่งบอกถึงความชอบของเจ้าของบ้าน text >ภาพ: มุมทำงานที่ดูโปร่งสบาย และให้ความรู้สึกหรูหราในเวลาเดียวกัน text >ภาพ: ฉากฉลุลายสีทองที่สวยงามประณีต เข้ากันกับโคมไฟที่มีดีไซน์เฉพาะตัว >ถัดไปคือห้องพระ ที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่มาจากระเบียง และห้องนอนใหญ่ ที่ออกแบบให้เป็น Studio Type มีทุกอย่างครบจบในตัว ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ, Walk-in closet, มุมนั่งเล่น, มุมทำงาน และระเบียงขนาดใหญ่ที่จัดวางชิงช้าไว้ สามารถออกมานั่งเล่นพักผ่อนได้ในยามแดดร่มลมตก text >ภาพ: ห้องพระบรรยากาศโปร่ง โล่ง สงบ สบาย text >ภาพ: Master Bedroom ออกแบบให้มีพื้นที่ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน >จะเห็นได้ว่าวัสดุตกแต่งต่างๆ เน้นการใช้ หินอ่อน ไม้ และทอง เนื่องจากเป็นวัสดุที่เข้ากับงานออกแบบได้ทุกยุคทุกสมัย ตอบโจทย์ความเป็น Time Less ได้อย่างที่คุณสารัชต้องการ และในบางมุมของบ้านเราจะเห็นโลโก้รูปตัว S ที่สวยงาม ซึ่งเป็นโลโก้ที่ทาง Synonym ออกแบบให้ สื่อถึงตัวตนของคุณสารัช ผ่านแบรนด์ “มะขามสารัช” ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของทุกคนในครอบครัวนั่นเอง text >ภาพ: โลโก้ Villa Sarach ที่สื่อความหมายถึงความสุขและความภูมิใจของครอบครัว text >ภาพ: ขอบคุณสถานที่ บ้านคุณสารัช กมลธรไท >ออกแบบโดย: Apostrophys Group Co.,Ltd. x Synonym Co.,Ltd. สนใจบริการออกแบบก่อสร้าง คลิก\{.button .newtab} {.centered}
วิธีเลือกสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และฝักบัวในห้องน้ำ สำหรับเจ้าของบ้านที่คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างคุ้มค่า ที่นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำแล้ว ยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย >การเลือกสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ประกอบในห้องน้ำ นอกจากจะเลือกรูปทรงที่สวยงามแบบที่ชอบ เข้ากับสไตล์ห้องน้ำแล้ว หากเราเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำแล้วละก็ การเลือกสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และฝักบัวที่ช่วยประหยัดน้ำได้ด้วย ก็คงจะเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อมาใช้ที่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเบื้องต้น สามารถสังเกตได้จากฉลากประหยัดน้ำที่ผ่านการรับรองจากสถาบันหรือองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มอก. (ประหยัดน้ำ) ฉลากเขียว รวมถึงฉลากประหยัดน้ำของการประปานครหลวง (กปน.) โดยมีการกำหนดประสิทธิภาพอุปกรณ์ประหยัดน้ำไว้ 5 ระดับ โดยประสิทธิภาพประหยัดน้ำที่ดี คือ เบอร์ 3, 4 และ 5 เป็นต้น รวมถึงพิจารณาข้อมูลอัตราการใช้น้ำที่ระบุไว้ในผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นด้วย >## เลือกโถสุขภัณฑ์ประหยัดน้ำจากระบบชำระล้าง >โถสุขภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์อันดับต้นๆ ที่ต้องใช้น้ำในการชำระล้างแต่ละครั้งเป็นปริมาณหลายลิตร ซึ่งในปัจจุบันมีให้เลือกตั้งแต่ 3-9 ลิตร จึงควรเลือกรุ่นที่ใช้ปริมาณน้ำไม่เกิน 3-6 ลิตร/ครั้ง เช่น ระบบชำระล้างแบบ Wash Down ซึ่งเป็นระบบที่ใช้น้ำใหม่แทนที่น้ำเก่า ช่วยประหยัดน้ำ มีระบบ Dual Flush (แบบ 2 ปุ่มกด) ที่เลือกได้ว่าจะกดชำระแบบใช้น้ำน้อยสำหรับการขับถ่ายเบา (แบบประหยัดน้ำ) หรือน้ำปกติสำหรับการขับถ่ายหนัก ระบบนี้ใช้น้ำประมาณ 2.5-6 ลิตร/ครั้ง ส่วนระบบ Siphonic Wash Down ระบบชำระล้างที่ใช้หลักการของกาลักน้ำ ช่วยให้เกิดแรงดูดในระบบท่อคอห่าน ใช้น้ำ 6 ลิตร/ครั้ง นอกจากนี้ยังมีระบบ Siphon Jet ระบบที่มีการชำระล้างได้เร็ว และแรงกว่าระบบอื่นๆ โดยใช้รู JET เป็นตัวช่วยส่งน้ำเพื่อให้เกิดแรงดูด ใช้น้ำ 4.5 - 6 ลิตร/ครั้ง (ส่วนระบบ Siphon Vortex แม้ว่าจะเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในการชำระดีที่สุดเมื่อเทียบกับระบบอื่น เสียงเบา และอุปกรณ์ภายในหม้อน้ำเป็นทองเหลือง แต่ใช้น้ำในปริมาณมาก หรือประมาณ 9 ลิตร/ครั้ง) >ทั้งนี้การเลือกโถสุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ำ ควรเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคนในบ้าน เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่สุด วิธีสังเกต ระบบการชำระล้างของโถสุขภัณฑ์ >ภาพ: ระบบการชำระล้างของโถสุขภัณฑ์ที่มีในท้องตลาดและวิธีสังเกตเบื้องต้น โถสุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ำ รุ่น C13330 เซลล่า Wash Down 2 ปุ่มกด >ภาพ: ตัวอย่างโถสุขภัณฑ์รุ่นประหยัดน้ำ รุ่น C13330 เซลล่า ที่ใช้ระบบ Wash Down ในการชำระล้าง แบบ 2 ปุ่มกด ที่เลือกได้ว่าจะกดชำระแบบ 3 หรือ 4.5 ลิตร สนใจ C13330 เซลล่า 3/4.5 ลิตร คลิก\{.button .secondary .newtab} {.centered} >## เลือกก๊อกน้ำรุ่นที่มีฉลากรับรองการประหยัดน้ำ สายน้ำฟูนุ่มมีฟองอากาศ >หากต้องการเลือกซื้อก๊อกน้ำที่ช่วยประหยัดน้ำ สามารถเลือกจากรุ่นที่มี “ฉลากประหยัดน้ำ” ของการประปานครหลวง (กปน. ได้พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ที่กำหนดไว้ในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์) ที่มีการรับรองมาตรฐาน โดยก๊อกประหยัดน้ำจะมีอัตราการไหลของน้ำในช่วง 0.5-6 ลิตร/นาที (ที่แรงดันน้ำ 1 บาร์) หากแบ่งตามระดับประสิทธิภาพประหยัดน้ำของ กปน. ซึ่งมีความเข้มข้นขึ้นนั้น เบอร์ 3 หมายถึงประหยัดน้ำดี เบอร์ 4 หมายถึงประหยัดน้ำดีมาก เบอร์ 5 หมายถึงประหยัดน้ำดีเยี่ยม ตารางแสดงระดับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของระดับ 3, 4 และ 5 >ภาพ: ตารางแสดงระดับประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของระดับ 3, 4 และ 5 >นอกจากการสังเกตเบอร์ประหยัดน้ำแล้ว ยังสามารถดูจากรุ่นที่ออกแบบการปล่อยน้ำในลักษณะละอองฝอย หรือแบบนุ่มฟูมีฟองอากาศ (มีตะแกรงที่ปลายก๊อก) และก๊อกน้ำแบบก้านโยกหรือก้านปัดหรือเกลียวที่สามารถเปิดปิดน้ำได้ทันทีโดยไม่ต้องออกแรงมาก รวมถึงก๊อกรุ่นที่เป็นเซ็นเซอร์เปิดปิดอัตโนมัติเพื่อช่วยประหยัดน้ำอีกด้วย ก๊อกรุ่นประหยัดน้ำ ฉลากประหยัดน้ำ ของ กปน. มีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำระดับ 5 รุ่น CT160C10LCX(HM) WINDY SERIES >ภาพ: ตัวอย่างก๊อกรุ่นประหยัดน้ำที่ได้รับฉลากแสดงประสิทธิภาพอุปกรณ์ประหยัดน้ำ (ฉลากประหยัดน้ำ) ของ กปน. ซึ่งมีประสิทธิภาพการประหยัดน้ำระดับ 5 รุ่น CT160C10LCX(HM) “WINDY SERIES” ซึ่งเป็นก๊อกก้านปัดที่สามารถเปิดปิดน้ำได้ทันทีโดยไม่ต้องออกแรงมากอีกด้วย CT533AC ก๊อกเดี่ยวอ่างล้างหน้าอัตโนมัติ ใช้ไฟฟ้า >ภาพ: ตัวอย่างก๊อกน้ำเซ็นเซอร์รุ่น CT533AC ก๊อกเดี่ยวอ่างล้างหน้าอัตโนมัติ (ใช้ไฟฟ้า) >## เลือกฝักบัวรุ่นที่มีฉลากรับรองมอก. หรือฉลากประหยัดน้ำ >การเลือกอาบน้ำโดยใช้ฝักบัวแทนการตักอาบก็เป็นการช่วยประหยัดน้ำได้มาก นอกจากนี้การเลือกรุ่นที่ประหยัดน้ำ หากเป็นรุ่นที่มีฉลากรับรองมอก. จะถูกระบุตามมาตรฐานว่า ควรมีน้ำไหลออกจากฝักบัวสายอ่อนมีอัตราการไหลในช่วง 0.5-8 ลิตร/นาที และฝักบัวอาบน้ำก้านแข็งมีอัตราการไหลในช่วง 0.5-9 ลิตร/นาที (ที่แรงดันน้ำ 1 บาร์) หรือเลือกจากรุ่นที่มี “ฉลากประหยัดน้ำ” ของการประปานครหลวง (กปน.) โดยระดับที่ 3-5 เป็นระดับที่ประหยัดน้ำ >นอกจากนี้ ลักษณะของฝักบัวประหยัดน้ำจะถูกออกแบบในลักษณะเช่น มีการดึงอากาศเข้าไปผสมกับกระแสน้ำ ผ่านรูเล็กๆ บริเวณหัวฝักบัว โดยให้รูปล่อยน้ำมีขนาดเล็ก แต่สิ่งที่ควรระวังสำหรับรูปล่อยน้ำขนาดเล็กคือจะเกิดตะกรันอุดที่รูหัวฝักบัวได้ง่าย จึงควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อไม่ให้รูปล่อยน้ำตัน นอกจากนี้ยังมีฝักบัวรุ่นที่มีรูขนาดเล็กรูปทรงสามเหลี่ยม (ฝักบัว PURE RAIN) ที่ช่วยประหยัดน้ำได้มากทั้งที่ได้สายน้ำที่แรง โดยมีแผ่นกรองที่ช่วยลดการสะสมของฝุ่นผงขนาดเล็กที่อาจทำให้รูที่หัวฝักบัวตันและน้ำที่ผ่านฝักบัวออกมายังสะอาดอีกด้วย นอกจากการเลือกใช้ฝักบัวรุ่นประหยัดน้ำข้างต้นแล้ว การปิดน้ำฝักบัวขณะถูสบู่หรือสระผมก็ช่วยประหยัดน้ำได้มากอีกด้วย ตารางแสดงประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของฝักบัวอาบน้ำสายอ่อน เป็น 5 ระดับ >ภาพ: ตารางเกณฑ์ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของ กปน. มีความเข้มข้นขึ้น โดยแสดงประสิทธิภาพฝักบัวอาบน้ำสายอ่อน เป็น 5 ระดับ โดยอุปกรณ์ประหยัดน้ำ คือ เบอร์ 3, 4 และ 5 ตารางแสดงประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของฝักบัวอาบน้ำก้านแข็ง เป็น 5 ระดับ >ภาพ: ตารางเกณฑ์ประสิทธิภาพการประหยัดน้ำของ กปน. มีความเข้มข้นขึ้น โดยแสดงประสิทธิภาพฝักบัวอาบน้ำก้านแข็งเป็น 5 ระดับ โดยอุปกรณ์ประหยัดน้ำ คือ เบอร์ 3, 4 และ 5 ฝักบัวอาบน้ำ ประหยัดน้ำ ได้รับรางวัลการออกแบบ Design Excellent Award และ Good Design Award รุ่น Z72(HM) ฝักบัวพร้อมสาย 1 ฟังก์ชั่น >ภาพ: ตัวอย่างฝักบัวอาบน้ำที่ช่วยประหยัดน้ำและได้รับรางวัลการออกแบบ Design Excellent Award และ Good Design Award รุ่น Z72(HM) ฝักบัวพร้อมสาย 1 ฟังก์ชั่น ฝักบัวอาบน้ำที่ช่วยประหยัดน้ำ รุ่น S45(HM) ฝักบัวพร้อมสาย 1 ฟังก์ชั่น >ภาพ: ตัวอย่างฝักบัวอาบน้ำที่ช่วยประหยัดน้ำ รุ่น S45(HM) ฝักบัวพร้อมสาย 1 ฟังก์ชั่น ฝักบัว PURE RAIN ช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่าฝักบัวทั่วไป มีช่องปล่อยน้ำรูปสามเหลี่ยม ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำ ปรับโมเลกุลน้ำให้อาบนุ่มสบายผิว >ภาพ: ฝักบัว PURE RAIN ช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่าฝักบัวทั่วไป อีกทั้งมีช่องปล่อยน้ำรูปสามเหลี่ยม ช่วยเพิ่มแรงดันน้ำและปรับโมเลกุลน้ำให้อาบนุ่มสบายผิว >นอกจากโถสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำ และฝักบัวแล้ว การเลือกฝักบัวฉีดชำระและโถปัสสาวะชายก็มีส่วนเช่นกัน สำหรับฝักบัวฉีดชำระ แนะนำให้เลือกปรับความแรงหรือเบาของน้ำให้เหมาะสม นอกจากจะเพื่อความนุ่มนวลขณะใช้งานแล้ว ยังช่วยประหยัดน้ำได้อีกด้วย ส่วนการเลือกโถปัสสาวะชายส่วนใหญ่แล้วปริมาณน้ำที่ใช้ในการกดชำระแต่ละครั้งจะไม่มาก สิ่งสำคัญคือคอยดูแลอย่าให้ปุ่มกดค้างก็เพียงพอ >ทั้งนี้ ไม่ว่าเราจะเลือกสุขภัณฑ์ที่ประหยัดน้ำแล้วก็ตาม สิ่งสำคัญคือ ระยะเวลาที่เราใช้ในแต่ละครั้ง เช่น การอาบน้ำด้วยฝักบัว ถ้าอาบนานเกินไป หรือหากเปิดฝักบัวทิ้งไว้ขณะสระผมหรือถูสบู่ หรือเปิดก๊อกน้ำอ่างล้างหน้าทิ้งไว้ขณะแปรงสีฟันก็เป็นการเปลืองน้ำเช่นกัน นอกจากนี้ ยังควรตรวจเช็คระบบท่ออย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเช็คสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ประกอบต่างๆ ให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน ไม่แตกร้าวหรือมีจุดรั่วซึม เพราะการรั่วซึมเล็กน้อย ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการปล่อยทรัพยากรน้ำทิ้งไปโดยใช่เหตุเช่นกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยประหยัดทรัพยากรน้ำ อีกทั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านได้อีกด้วย สนใจ บริการออกแบบ รื้อถอน ติดตั้งกระเบื้อง สุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ห้องน้ำ คลิก\{.button .newtab} {.centered} >ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง >https://www.mwa.co.th/ewt_news.php?nid=47163&filename=index >https://www.mwa.co.th/ewt_news.php?nid=49377&filename=index >http://greenbuilding-material.com/wp-content/themes/greenbd%20mo%20by%20cowmein/documents/specsheet/LEED%20V.3/specsheetLEED%20V.3CT160C10LCX(HM).pdf
ระยะชายคา คือระยะจากผนังบ้านถึงเชิงชาย มีส่วนช่วยลดความร้อนให้บ้านด้วยการกันแดด สร้างร่มเงาให้แก่ตัวบ้าน และยังช่วยระบายความร้อนใต้หลังคาได้หากเลือกใช้ฝ้าชายคาที่มีช่องระบายอากาศ >สำหรับบ้านในเมืองร้อนอย่างประเทศไทยของเรา รูปแบบหลังคามักจะเป็นรูปทรงปั้นหยา จั่ว หรือแม้แต่หลังคาเพิงแหงน ซึ่งจะมีส่วนชายคาที่ยื่นยาวออกไป โดยระยะยื่นชายคาที่เหมาะสมนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.00 – 1.80 เมตร ขึ้นอยู่กับทิศการวางตัวบ้านและการวางผังห้อง เนื่องจากห้องแต่ละห้องใช้ประโยชน์จากแสงธรรมชาติในปริมาณที่ต่างกัน เช่น ห้องน้ำที่ต้องการแสงแดดภายนอกช่วยไล่ความชื้น ส่วนห้องทำงาน ห้องนอน และห้องนั่งเล่นควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนรบกวน เป็นต้น ทั้งนี้ การกำหนดระยะชายคาที่เหมาะสมควรสัมพันธ์กับการออกแบบบ้าน สัดส่วนที่สมดุลและความสวยงามด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งควรปรึกษาสถาปนิกในการออกแบบ ที่สำคัญคือวัสดุโครงสร้างหลังคาที่รองรับ ซึ่งต้องอาศัยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในการคำนวณออกแบบโครงสร้างที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในการอยู่อาศัย บริการติดตั้งฝ้าภายนอก คลิก\{.button .newtab} {.centered} ชายคาบ้าน,ฝ้าชายคา,วิธีทำให้บ้านเย็น,บ้านร้อน,กันแดด >ภาพ: ระยะยื่นชายคาที่เหมาสม อยู่ที่ 1.00 – 1.80 เมตร ติดตั้งระบบฝ้าชายคาไวนิลเอสซีจี รุ่นระบายอากาศเพื่อช่วยระบายความร้อนใต้หลังคา ชายคาบ้าน,ฝ้าชายคา,วิธีทำให้บ้านเย็น,บ้านร้อน,กันแดด >ภาพ: ชายคาเหนือระเบียงชั้นบนติดตั้งไม้ระแนงตีเว้นร่อง เพื่อระบายกาศและความร้อนใต้หลังคา >Tips: สำหรับผนังในทิศตะวันออก และตะวันตกจะโดนแดดยามเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆ ในแนวนอน ชายคาบ้านอาจป้องกันได้ไม่ทั่วถึง ควรปลูกต้นไม้ให้ร่มเงาหรือติดตั้งระแนงกันแดดเพิ่มเติม เพื่อช่วยกรองแสงแดดและลดความร้อนที่เข้ามา ระแนงกันแดด >ภาพ: บ้านติดตั้งแผงระแนงกันแดดในแนวนอนในผนังฝั่งทิศตะวันออก ระแนงกันแดด >ภาพ: ติดตั้งระแนงกันแดดในแนวนอนในผนังฝั่งทิศตะวันตก บริการติดตั้งฝ้าภายนอก คลิก\{.button .newtab} {.centered}
ปูนซีเมนต์เทา กับ ปูนซีเมนต์ขาว ต่างกันอย่างไร และการทำงานเหมือนกันไหม แล้วควรเลือกใช้ปูนแบบไหนเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานและตอบโจทย์ความต้องการ วันนี้ SCG HOME หาคำตอบมาให้แล้ว วัตถุดิบและส่วนผสมของปูนซีเมนต์ จริง ๆ แล้ว ปูนซีเมนต์เทาและปูนซีเมนต์ขาว ล้วนมีส่วนผสมหลักแทบไม่แตกต่างกันนั่นคือ หินปูน หินดินดาน ดินลูกรัง และทราย เพียงแต่ปูนซีเมนต์ขาวจะคัดสรรวัตถุดิบเฉพาะ โดยการควบคุมปริมาณของเหล็กออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์ในวัตถุดิบให้มีน้อยที่สุด เพื่อให้ได้ปูนซีเมนต์ที่มีสีขาวมากที่สุด ส่วนกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ขาวจะแตกต่างและมีขั้นตอนมากกว่าปูนซีเมนต์เทา เช่น การเผาที่อุณหภูมิสูงกว่า ไปจนถึงขั้นตอนการลดอุณหภูมิลงที่ช่วยควบคุมความคงที่ของสีปูน จึงส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตปูนซีเมนต์ขาวสูงกว่าการผลิตปูนซีเมนต์เทานั่นเอง ส่วนผสมของปูนซีเมนต์ ภาพ: ตัวอย่างส่วนผสมดินลูกรัง และ หิน ที่ใช้ผลิตปูนซีเมนต์เทาและปูนซีเมนต์ขาว การใช้งานของปูนซีเมนต์ขาวและเทาที่ต่างกัน หากเป็นงานก่ออิฐฉาบปูนทั่วไปที่ต้องทาสีหรือปิดผิวด้วยวัสดุตกแต่งอื่น ๆ ไปจนถึงงานโครงสร้างอาคารที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ประเภทปอร์ตแลนด์ จะเห็นได้ชัดว่าปูนซีเมนต์เทาเหมาะกับงานเหล่านี้มากกว่า ถึงแม้คุณสมบัติของปูนซีเมนต์ขาวไม่ได้ด้อยกว่าปูนซีเมนต์เทาแม้แต่น้อย และออกจะแข็งแรงมากกว่าด้วยซ้ำ แต่งบประมาณในการก่อสร้างที่ใช้ปูนซีเมนต์ขาวจะสูงกว่าหลายเท่าตัว อย่างไรก็ดี มีงานออกแบบที่เจาะจงใช้ปูนซีเมนต์ขาวในงานฉาบผนังขาวโชว์พื้นผิว หรือแม้แต่งานหล่อคอนกรีตที่ต้องการโชว์สีธรรมชาติของปูนซีเมนต์ขาว เช่น ผนังคอนกรีตขาว, แผ่นผนัง Precast, งานปั้นปูน หรืองานอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน การใช้ปูนซีเมนต์ก่อผนัง ภาพ: ตัวอย่างงานก่อผนังอิฐ การใช้ปูนซีเมนต์เทา ภาพ: ตัวอย่างงานก่อผนังอิฐ ปูนซีเมนต์ขาวเหมาะกับงานตกแต่งพิเศษ นอกเหนือจากงานโชว์พื้นผิวธรรมชาติของปูนซีเมนต์ขาวแล้ว งานตกแต่งพื้นผิวที่มีการผสมสีเฉดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น งานฉาบสี ปูนฉาบบางสีต่าง ๆ สีซีเมนต์ หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ฯลฯ หรือแม้แต่วัสดุผิวหน้าในขั้นตอนการพ่นสีบนกระเบื้องหลังคาคอนกรีต บล็อกปูถนน พื้นคอนกรีตพิมพ์ลาย (Stamp Concrete) จะเหมาะกับการใช้ปูนซีเมนต์ขาวเช่นกัน เพื่อให้ได้ความแม่นยำของสีวัสดุตกแต่งพื้นผิวนั้น และด้วยเนื้อปูนซีเมนต์ขาวที่แน่นละเอียด เหนียวนุ่มยึดเกาะได้ดี จึงเหมาะกับวัสดุประเภทกาวซีเมนต์และยาแนวกระเบื้องได้เป็นอย่างดี ซีเมนต์ตกแต่งผนัง ภาพ: งานฉาบตกแต่งผนังด้วยปูนซีเมนต์ขาว การแต่งสีผนังด้วยซีเมนต์ ภาพ: ฉาบตกแต่งผนังสีต่าง ๆ ด้วยปูนฉาบบาง (Skim Coat) พื้นที่ตกแต่งด้วยหินขัด ภาพ: บันไดภายนอกอาคารตกแต่งพื้นผิวด้วยหินขัดหรือ Terrazzo ปูนซีเมนต์ขาว กับ ปูนขาว ไม่ใช่ปูนชนิดเดียวกัน สุดท้ายขอเพิ่มเติมความเข้าใจกันอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับ “ปูนขาว” (ที่ไม่ใช่ปูนซีเมนต์ขาว) ซึ่งมักใช้เป็นส่วนผสมหรือตัวปรับสภาพทางเคมี อย่างเช่น ในงานก่อสร้างจะใช้ปูนขาวเป็นส่วนผสมของปูนฉาบเพื่อช่วยลดการแตกร้าว ในงานเกษตรปูนขาวจะช่วยปรับสภาพดินที่เป็นกรดสูง หรือในอุตสาหกรรมเหล็กจะใช้ปูนขาวในการดึงสารเจือปนเพื่อให้เหล็กคุณภาพสูง ปูนขาวและปูนซีเมนต์ขาวที่มีส่วนผสมและกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถใช้งานทดแทนกันได้ เจ้าของบ้านและผู้ใช้งานจึงควรสังเกตและระมัดระวังการใช้งานให้ถูกต้องเช่นกัน