ปัจจัยในการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ ที่คุณควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
ขนาดของห้อง ยิ่งห้องมีขนาดใหญ่เท่าไร ก็ต้องเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพื่อจะได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นวิธีการคือวัดขนาดกว้าง ยาวของห้อง แล้วดูค่าเปลี่ยนถ่ายอากาศทุกชั่วโมงของเครื่องฟอกอากาศว่าค่าคือเท่าไร โดยมากแล้วเครื่องฟอกอากาศแต่ละรุ่นจะแจ้งขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้งานมาให้ ซึ่งไม่ควรใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีขนาดเล็กกว่าห้อง เนื่องจากนอกจากไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่แล้ว ยังทำให้เครื่องฟอกอากาศทำงานหนักอีกต่างหาก
ระบบการทำงาน Air Filter หรือแผ่นกรองอากาศ ซึ่งเป็นระบบดักจับฝุ่นละออง แบคทีเรีย ไวรัส หรือสารต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ มีทั้งประเภทที่ทำจากกระดาษ เส้นใย ตาข่าย แต่แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันคือแผ่นกรองอากาศแบบ HEPA หรือ High Efficiency Particulate Air ประเภทแผ่นกรองที่ผลิตจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ดักจับอนุภาคที่มีขนาดเล็กอย่างน้อย 0.3 ไมครอน และมีประสิทธิภาพในการดักจับได้ไม่น้อยกว่า 99.97% อายุเฉลี่ยการใช้งานอยู่ที่ 3-5 ปี
ค่า CADR (Clean Air Delivery Rate) หรืออัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ต่อนาที ซึ่งเป็นค่าสากลที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ ยิ่งมีค่า CADR สูงมากเท่าไร ก็แสดงให้เห็นว่าเครื่องฟอกอากาศมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นเท่านั้น
อะไหล่เครื่องฟอกอากาศ เมื่อต้องตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ นอกจากเรื่องของระบบการทำงาน ดีไซน์ต่างๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรคิดและพิจารณาไว้ล่วงหน้าเลยก็คืออะไหล่ของเครื่องฟอกอากาศที่อาจต้องพิจารณาว่าถ้าเกิดเครื่องฟอกอากาศมีปัญหาขึ้นมาในภายหลัง เราจะสามารถหาซื้ออะไหล่เหล่านั้นได้สะดวกหรือไม่ โดยเฉพาะพวกแผ่นกรองและไส้กรองต่างๆ
ระดับเสียง เครื่องฟอกอากาศที่ดีควรมีระดับเสียงต่ำขณะทำงาน เพราะผู้เป็นภูมิแพ้บางคนอาจต้องเปิดเครื่องฟอกอากาศขณะนอนหลับ ดังนั้นจึงควรเลือกระดับเสียงในการทำงานที่มีค่าประมาณ 30-31 เดซิเบล ส่วนใครที่ไม่คิดว่าจำเป็นต้องใช้งานตอนกลางคืน อาจข้ามเรื่องเสียงไป
สำหรับหลักการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศเพื่อช่วยกำจัดฝุ่น PM2.5 ให้สังเกตที่แผ่นกรอง โดยพบว่าแผ่นกรองแบบ High-Efficiency Particulate Air Filter Arrestance (HEPA) เป็นประเภทที่เหมาะสมและได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพ ราคาคุ้มค่า แถมอัตราการกรองอยู่ในระดับ H13 (หรือสูงกว่า) ทว่าอย่างไรก็ตามต้องพิจารณาควบคู่ไปกับค่าปริมาณการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CARD) ค่าประสิทธิภาพการฟอกอากาศ (Airflow) และขนาดพื้นที่ภายในห้องด้วย เพื่อช่วยให้เอื้อต่อการลดฝุ่นพิษได้เร็วสุด มากสุด ดีสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง